ตอนที่ ๒ พุทธศาสนามุ่งชี้อะไร.. พุทธศาสนามุ่งกำจัดกิเลสโดยสิ้นเชิง รู้อะไรตามความเป็นจริง แล้วความเบื่อหน่าย คลายความอยากและความหลุดพ้นย่อมเกิด เนื่องจากสิ่งปรุงแต่งทั้งปวงเป็นทุกข์ ความอยากด้วยความไม่รู้เป็นทุกข์ นิโรธคือดับทุกข์และมรรคคือแนวทางการดับทุกข์ ความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรตามจริงอย่างบริสุทธิ์คือตัวพระพุทธศาสนา
Advertisement
ตอนที่ ๓ ลักษณะสามัญของสิ่งทั้งปวง... คืออนิจจังทุกขังอนัตตา เปลี่ยนแปลงเสมอ มีลักษณะเป็นทุกข์ ไม่มีความหมายแห่งตัวตน ไม่น่าเอา น่าเป็น ด้วยตัณหา และติดในวัฏฏสงสาร ควรกระทำสิ่งทั้งปวงด้วยปัญญาจึงจะไม่ทุกข์
ตอนที่ ๔ อำนาจของความยึดติด คือยึดติดในกาม รูปเสียงกลิ่รสสัมผัสธรรมารมณ์ ยึดความเห็นเดิม ๆ ยึดติดในวัตรปฏิบัติที่มุ่งหมายผิดทาง ยึดมั่นในความเป็นตัวตนต้องทำความเข้าใจ เมื่อจิตหลุดพ้นจากอุปาทานได้ก็จะบรรลุอรหันต์ได้...
ตอนที่ ๕ ขั้นของการปฏิบัติศาสนา ซึ่งประกอบด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา ศีลคือการปฏิบัติเพื่อความเรียบร้อยของสังคมทางกายวาจา สมาธิ คือการบังคับจิตใจของตัวเองให้อยู่ในสภาพที่จะทำประโยชน์ได้...มากที่สุดตามที่ต้องการ และปัญญาหมายถึงการฝึกฝนทำให้เกิดความรู้ความเข้าในอันถูกต้องและสมบูรณ์ถึงที่สุดในสิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริง และสมาธิและปัญญาเป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เมื่อมีสมาธิมากขึ้น ปัญญาก็มากขึ้นตาม เมื่อมีปัญญามากขึ้น สมาธิก็มากขึ้นตาม ดังนี้...
ตอนที่ ๖ คนเราติดอะไร ...สิ่งที่เป็นที่ตั้งยึดของอุปาทานคือ เบญจขันธ์ ซึ่งหมายถึง ส่วน๕ ในการประกอบเป็นโลก คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รูปคือกายมนุษย์ เวทนาคือความพอใจ ไม่พอใจ และเฉย ๆ สัญญาแปลว่า รู้ตัว ความรู้สึกขณะตื่นอยู่ และจำได้ สังขาร แปลว่าปรุง เช่นคิดจะทำ คิดจะพูด คิดดี คิดเลว ความรู้สึกที่เป็นความคิดขึ้นมาเรียกว่าสังขาร...วิญญาณ หมายถึง จิตที่ทำหน้าที่รู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น และกายทั่ว ๆ
ทั้งรูปกาย(1) เวทนาความพอใจไม่พอใจ (2) ความจำได้หมายรู้(3) ความคิดปรุงแต่ง (4)และ ความรู้สึกที่จิตได้สัมผัสสิ่งต่าง ๆ ด้วยอายตนะ (5) เป็นสิ่งที่มนุษย์ยึดติดว่าเป็นตัวกูของกู หากพิจารณาแยกตัวมนุษย์ว่าประกอบด้วยขั้น ๕ แล้ว แยกรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ออกมาทีละส่วนก็จะเกิดความรู้แจ้งมากขึ้นว่า ไม่สามารถยึดเอาเป็นตัวตนได้เลย
ตอนที่ ๗ การทำให้รู้แจ้งตามวิธีธรรมชาติ การทำให้รู้แจ้งโดยวิธีปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาทำให้เกิดความสงบระงับมีความผ่องใสเยือกเย็น พร้อมที่จะรับรู้ความรู้แจ้งที่ตรงตามความเป็นจริง ไม่เอา อะไรไม่เป็นอะไร ด้วยกิเลส ตัณหา ที่ทำให้ต้องร้อนใจหนักใจ ช้ำใจ มีสติสัมปชัญญะคุ้มครองจิต มีปัญญาอยู่เหนือสิ่งต่าง ๆ...ก็จะสามารถนำไปสู่สันติและนิพพานปราศจากเครื่องทิ่มแทงให้เกิดทุกข์ในที่สุด
ตอนที่ ๘ การทำให้รู้แจ้งตามหลักวิชา โดยใช้ชื่อว่าวิปัสสนาธุระซึ่งหมายถึงสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา ซึ่งเป็นตัวก่อศีล สมาธิ และปัญญาโดยวิปัสสนามีขั้นแห่งความบริสุทธิ์ ๗ ประการคือ ...สีลวิสุทธิ (ความประพฤติ) จิตตวิสุทธิ(จิต) ทิฏฐิวิสุทธิ(ความเห็น) กังขาวิตรณวิสุทธิ(สงสัย) มัคคญาณทัสสนวิสุทธิ(เห็นแจ้ง) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ(ทางปฏิบัติ) ญาณทัสสนวิสุทธิ (อริยมรรค)
และวิปัสสนามี ๔ ตัวที่จะกำจัดกิเลส ๔ ระดับคือ ๑.ทิฏฐิวิสุทธิ(หมดความเห็นผิด) ๒.กังขาวิตรณวิสุทธิ(หมดความสงสัย) ๓. มัคคญาณทัสสนวิสุทธิ(ความรู้อันสะอาดหมดจดเห็นทางและไม่ใช่ทางที่จะก้าวต่อไป) และ๔. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งความรู้ความเห็นในตัวทางแห่งการปฏิบัติ)
วิปัสสนาญาณ ๙ เป็นตัวที่ ๑.เพ่งพิจารณาความเกิด-ดับ ๒.เพ่งพิจารณาความดับฝ่ายเดียว ๓.ความน่ากลัวแห่งความมี ความเป็น ๔.เห็นโทษของสังขาร(ปรุงแต่ง)ทั้งปวง ๕.เกิดความเบื่อหน่าย(นิพพิทาญาณ) ๖.ปรารถนาจะพ้นทุกข์ ๗.กำหนดพิจารณาหาทางหลุดรอด ๘.วางเฉยในสิ่งทั้งปวง ๙.ความเห็นพร้อมที่สุดที่จะรู้อริยสัจจ์
สุดท้าย วิปัสสนาตัวที่ ๕ และวิสุทธิอันดับ ๗ คือญาณทัสสนวิสุทธิ หมายถึง ความหมดจดแห่งความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นที่สุดแห่งอริยมรรคญาณ และหน้าที่ของวิปัสสนา คือ กำจัดความโง่ ให้เกิดรู้แจ้งแทงตลอดในสิ่งทั้งปวง กำจัดกิเลสให้สิ้น หลุดพ้นโลก ไม่มีความอยากใด ๆ อีกต่อไป....
ตอนที่ ๙ ลำดับแห่งการหลุดพ้นจากโลก...โลกแบ่งเป็น โลกิยภูมิ และโลกุตรภูมิ ...
โลกิยภูมิเป็นภาวะจิตที่พอใจในสิ่งทั้งปวง ๑.พอใจในกาม(กามาวจรภูมิ) ๒.พอใจในรูป(รูปาวจรภูมิ)๓.พอใจในสิ่งที่เหนือกว่ารูป(อรูปามาวจรภูมิ) ชั้นนี้ยังยึดถือตัวตนและตัณหาอยู่..
โลกุตรภูมิ เป็นภาวะจิตที่อยู่เหนือวิสัยชาวโลก เป็นขั้นที่ไปสู่อริยบุคคล แบ่งเป็น ๔ ชั้น คือ โสดาบัน สกนาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ ซึ่ง เป็นภาวะของอริยบุคคลทั้งสิ้น โดยมีขั้นที่ต้องละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ลำดับให้ได้คือ
โสดาบัน ละ ๑.สักกายทิฏฐิ ๒วิจิกิจฉา ๓.ศีลพตปรามาส ได้
สกนาคามี ละ ๑.สักกายทิฏฐิ ๒วิจิกิจฉา ๓.สีลพตปรามาส ได้ และโลภะ โทสะ โมหะ บางส่วน
อนาคามี ละ ๑.สักกายทิฏฐิ ๒วิจิกิจฉา ๓.สีลพตปรามาส ๔กามราคะ๕.ปฏิฆะ
พระอรหันต์ ละ เพิ่มจากอนาคามี และ ๖.รูปราคะ ๗.อรูปราคะ ๘.มานะ ๙.อุทธัจจะ และละอวิชชาเป็นตัวสุดท้าย...
บุคคลในโลกุตรภูมิ มีจิตเหนือโลกทั้ง๔ นั้น เป็นผู้มีทุกข์น้อยลงตามสัดส่วนจนหมดทุกข์ สิ่งต่าง ๆ ในโลกิยภูมิ เป็นที่ตั้งของความพอใจ ไม่พอใจ จะไม่สามารถครอบงำท่านเหล่านี้ได้อีกต่อไป....
คู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาสเล่มนี้ ...แม้จะมีศัพท์แสงทางพุทธศาสนาอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็นับว่าเป็นพื้นฐานการทำความเข้าใจพุทธศาสนาเป็นเบื้องต้นเป็นอย่างดี หากทำความเข้าใจไปทีละน้อย ก็จะเหมือนการกำจัดกิเลส ความอยากในตัวเราไปทีละนิด จนกระทั่งนำไปสู่การรู้แจ้ง และทำให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราเบาบางได้ในที่สุด